เชียงใหม่ – เชียงราย 2006 (2)

เชียงใหม่ – ภูชี้ฟ้า วันที่ ๓

ตื่นมาแปดโมงอย่างสะโหลสะเหล เพราะว่าดันนอนดึก
วันนี้เราต้องออกจากเชียงใหม่เพื่อมุ่งหน้าสู่ภูชี้ฟ้า เชียงราย

ออกจากที่พักตอนเก้าโมงครึ่ง
ตามสไตล์ไซเล้ง คือยังไงก็ห่วงกิน
ขนาดว่ากินอาหารเช้ากันแล้ว
ก็ยังดั้นด้นไปกินอาหารเช้ารอบสองกันอีก
เหตุเพราะว่า เขาเล่าว่า มันอร่อย

ส่วนเรายัดไม่ลงแล้ว กินไปเส้นเดียวเอง
แต่ก็รู้สึกว่ามันอร่อยจริงแหละ แป้งก๋วยจั๊บนุ่ม
น้ำเข้มข้นดี

เรามุ่งหน้าสู่วัดอุโมงค์ ตามคำแนะนำของกีบกันก่อน
วัดอุโมงค์หน้าตาเป็นไงไม่รู้ แต่ก็ไป
ไปถึงแล้วก็รู้สึกประทับใจนะ
อุโมงค์เก่าแก่น่าดู มีบรรยากาศสงบเย็นยิ่งนัก
แถมยังมีพื้นที่สำหรับนั่งวิปัสสนากรรมฐานด้วย
วัดในเชียงใหม่นี่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองกันจังนิ
น่าเที่ยวไปหมดเลย

 

นกกินขนมปัง ปลากินอาหารปลา หมากินทั้งขนมปังและอาหารปลา
เลี้ยงง่าย โตไว

เมื่อดูวัดอุโมงค์เสร็จ ก็ไปต่อที่วัดต้นเกว๋นกัน
วัดต้นเกว๋นนี่ก็ recommended by กีบ เหมือนกัน
เป็นวัดเก่าแก่ และมีเอกลักษณ์อีกแล้ว
ทำไมวัดในกรุงเทพครือๆกันหมด ไม่เหมือนวัดที่เชียงใหม่เชียงรายเลย
เที่ยวได้ไม่ซ้ำ

 

เสร็จจากวัดต้นเกว๋น เราก็ไปเสาะหาไส้กรอกเยอรมันในตำนาน
ด้นดั้นไปถึงที่จนได้ ตอนบ่ายสอง

โต๊ะเราสั่งขาหมูมาด้วย
แต่ว่าตั้งแต่เรากินขาหมูแล้วตื่นมาอาเจียนตอนกลางคืนเมื่อไม่กี่ปีก่อน
ตั้งแต่นั้น แค่เห็นก็นึกคลื่นไส้ขึ้นมาแล้ว
ยิ่งตอนที่หั่นแล้วเห็นมันเป็นก้อนๆนี่ต้องไม่มองเลย
แต่เราก็สันนิษฐานว่ามันคงอร่อยมากแหละ
เพราะหมดเกลี้ยงเลย
อิ่มหมีกันแล้วก็เดินทาง (หลับ)สู่เชียงราย
ถึงวัดร่องขุ่นตอนสี่โมงเย็นครึ่ง
นับถือน้ำใจอ.เฉลิมชัยจริงๆ

 

พอดีมิงกุตาไว เจออ.เฉลิมชัยพอดี
เราจะเข้าไปขอลายเซ็นมั่ง แต่คนใกล้ชิดก็กันออกมา
แล้วช่วยเอาหนังสือที่เราซื้อไปให้เซ็นให้
แถมได้ถ่ายรูปหมู่ด้วย แต่เสียดายไม่ค่อยชัด
ตอนนั่งเล่นๆอยู่ก็เจออ.เดินไปมาคนเดียว(พรางตัวใส่หมวกใส่แว่นดำ)
ก็เลยทำเนียนไปขอลายเซ็นเพิ่ม เลยได้มาครบทุกเล่มเลย

ถึงที่พัก ไร่ภูฟ้า สองทุ่ม อุณหภูมิขณะนั้น ๑๒ องศา
เราทานข้าวกันก่อนที่จะขึ้นไปที่พัก
อาหารรสชาติชาวบ้านดีอะ อร่อยๆๆ (หรือแอบหิว?)

พบว่า ถ้าพรุ่งนี้สว่างแล้วเราก็จะเจอวิวที่งามมมม แน่ๆ
แต่ก่อนอื่น ต้องผ่านด่านตีสี่ครึ่งขึ้นดอยไปดูพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้ให้ได้ก่อน

งดการอาบน้ำหนึ่งคืน อากาศเย็น คงไม่บูด

 

ภูชี้ฟ้า – เชียงราย วันที่ ๔

ตื่น(แต่ยังอยู่ในผ้าห่ม) ตอนเที่ยงคืนกว่าๆ
เพราะมีเสียงเขย่าขย่มฝาห้องราวกับจะให้มันพังลงมาให้ได้
ไม่ว่าจะหนูหรือจะอะไรก็ตาม
มันก็ทำให้เรานอนไม่หลับ ฮือออ

พอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกหนาวขึ้นมาเลย
อาจจะเป็นเพราะนอนอยู่ริมหน้าต่างบานเกล็ดด้วยมั้ง
หนาวจนโมโหว่าหาเรื่องมานอนหนาวๆทำไมเนี่ย
แล้วพรุ่งนี้เช้ามันจะหนาวขนาดไหนเนี่ย
พาตัวเองมาทรมานชัดๆเลย

ตีสี่นาฬิกามิงกุปลุก ตื่นก็ได้ อยู่นี่ตื่นหรือนอนค่อนข้างมีค่าเท่ากัน เอิ๊ก
ออกมาเตรียมขึ้นรถสองแถวไปภู
ดาวซ้วยสวย ท้องฟ้ามืดสนิทเลย

ตีสี่ครึ่งออกเดินทาง
พอไปถึงที่หมาย เราต้องเดินเท้าขึ้นไปอีกเจ็ดร้อยกว่าเมตร
ดีที่คนอื่นเอาไฟฉายไปด้วย
เราก็เดินตามไฟฉายไปเพราะไฟอื่นไม่มี
เดินจนร้อนเลย ไม่มีความเย็นหลงเหลืออยู่
ประมาณครึ่งชั่วโมง กว่าจะรู้สึกเริ่มเย็นขึ้นมาอีกรอบนึง
อุณหภูมิน่าจะประมาณห้าถึงเจ็ดองศามั้ง

 

 

กลับมาที่ไร่ภูฟ้าก็แปดโมงกว่าเข้าไปแล้ว
อยู่กันเข้าไปได้บนนั้นตั้งนาน
(บ้ากล้องกันนั่นเอง อิอิ)
ตอนเดินลงเห็นทางแล้วก็รู้สึกว่า
ดีนะที่เดินขึ้นตอนมืดๆ ไม่งั้นคงหมดกำลังใจก่อน

ทานอาหารเช้าเสร็จก็เตรียมเก็บของกันเลย
เพราะไม่มีอะไรจะทำต่อ น้ำก็ไม่ยอมอาบ อิอิ
ก็เดินทางไปเที่ยวกันดีกว่า

เริ่มต้นทริปเที่ยววันนี้ต่อจากขึ้นภูก็คือการไปดูสวนทิวลิปที่ดอยผาหม่น
เป็นสวนทิวลิปในโรงที่ไม่ใหญ่นัก แต่ก็มีแต่ดอกสวยๆให้ดู

 

กลางวันไปกินข้าวกันที่เชียงของ ริมแม่น้ำโขง
เป็นแพโดดเดี่ยวริมอาคารตรวจคนเข้าเมืองแห่งหนึ่ง
แพนี้ชื่อ ดาวเรือนแพ
สั่งอาหารเพียบเหมือนเดิม
แต่ราคาเพียงแค่หกร้อยบาทถ้วนเท่านั้น

เมื่ออิ่มหมีพีมันกันแล้ว เราก็เริ่มเดินทางไปที่เชียงแสน

 

เมื่อมาถึงเมืองเชียงแสน
เราพบว่าบ้านเมืองดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดีจัง
เป็นเมืองประวัติศาสตร์เช่นเดียวกับอยุธยา
มีความสงบร่มรื่นดีด้วย

เราไปที่วัดเจดีย์หลวงของเชียงแสนกัน

แล้วก็เข้าไปดูพิพิธภัณฑ์เชียงแสนที่อยู่ข้างๆกัน
มีโบราณวัตถุที่น่าสนใจมากมาย

แล้วเราก็มาถึงสามเหลี่ยมทองคำ โอ้ย ไปหลายที่จัง

 

 

กว่าจะเสร็จสรรพที่สามเหลี่ยมทองคำ
ก็เย็นแก่ๆมากแล้ว
เราก็ตีรถตู้จากเชียงแสนลงมาที่ตัวเมืองเชียงรายทันใดเพื่อเช็คอิน
ม่อนฟ้าใสตอนกลางคืนก็สวยเป็นที่น่าพอใจ
หลังจากเก็บกระป๋งกระเป๋าเรียบร้อย
ประมาณทุ่มนึงก็ไปกินแจ่วฮ้อนพะเยา
อร่อยมากๆและพุงแทบแตก
ก็ยังจ่ายเพียงแค่หนึ่งพันหนึ่งร้อยบาท
ตกหัวละร้อยสี่สิบกว่าบาทเท่านั้น

แม้พุงจะแทบแตกก็ยังอุตส่าห์แถพุงไปกินไอติม
ไอติมเจ้านี้อยู่ใกล้ๆห้าแยกพ่อขุนเม็งรายเลย
ถ้วยละสิบห้าบาทเท่านั้นเอง
ไอติมนมสดใส่ลองช่องกะทิ
น่าแปลกใจที่ความมันของนมสดและกะทิ
เข้ากันได้เป็นอย่างดี
และลอดช่องที่มีลักษณะเขียวใส
ก็ทำให้ทานแล้วรู้สึกเบากว่าลองช่องปรกติ
ที่มีลักษณะทึบๆทานแล้วหนักๆ

อิ่มไม่รู้จะอิ่มไงแล้ว ก็เดินไปถ่ายรูปพ่อขุนเม็งรายต่อ

ทืมิ่กลางคืนหลังอาบน้ำก็นั่งตัดเล็บ
เพราะเล็บเท้าขบมาหลายวันแล้ว
ห้องอยู่สบายดี ถึงอากาศจะเย็นไปนิด
เง่อ เมืองไทยภาคเหนือน่าจะมีฮีทเตอร์เนาะ

Leave a comment

Blog at WordPress.com.

Up ↑