มหากาพย์ เตรียมงานแต่งงาน #MaliMeekob (16) – จัดการตัวเอง

ตอนที่ 16
จัดการตัวเอง

.

.

.

14 ตอนที่ผ่านมา พูดถึงเรื่องการจัดการของต่างๆ
ตอนที่แล้ว พูดถึงเรื่องการจัดการคนอื่น
ตอนสุดท้ายนี้ ก็ขอพูดถึงเรื่องจัดการตัวเอง เป็นการปิดท้ายจ้า…

.

.

.

ไม่อยากแต่งงานเลยเพราะกลัวการเตรียมงาน

.

เราว่า ถ้าตกลงมาถึงขั้นตอนที่จะแต่งงานแล้ว ถึงกลัววุ่นวายยังไง ก็คงแต่งอยู่ดี
เราก็เคยกลัวๆความวุ่นวายตอนเตรียมแต่งงานมา
แต่แล้วไงล่ะ ก็แต่งอยู่ดี 555

งานแต่งงาน เป็นเรื่องเยอะสิ่งอัน เป็นเรื่องที่เรามักไม่ได้ตัดสินใจได้คนเดียว
จึงนำมาซึ่งความขัดแย้งทางความคิดในครอบครัวเยอะอยู่
ลำพังความเยอะสิ่งอัน ถึงจะตัดสินคนเดียวก็วุ่นวายอยู่แล้ว ยิ่งมีคนอื่นเข้ามายิ่งวุ่นวายใหญ่

แต่เชื่อเถอะ ว่ามันจะไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำให้เราปวดหัวที่สุดในชีวิตหรอก
ชีวิตคนเรามีเรื่องอะไรให้ปวดหัวเยิ่นเย้อกว่าเรื่องเตรียมงานแต่งงานเยอะ
ไม่ใช่ว่าเราไม่จัดงานแต่งงานแล้วชีวิตที่เหลือจะง่าย
ถ้าจะไม่จัดงานแต่ง ก็ให้มั่นใจตัวเองว่า มีเหตุผลอะไรที่ชัดเจนมากกว่านี้
เช่น ไม่อินจริงๆ หรือตังไม่พอ เป็นต้น

จากประสบการณ์ส่วนตัว
งานแต่งงาน ทำให้เรารู้ว่า คนรอบข้าง ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน รักเรามากขนาดไหน
บางมุมของความรู้สึกของพวกเขา เราไม่เคยรู้มาก่อน หรือรู้น้อยมาก
จนกระทั่งต้องมาจัดงานแต่งงานด้วยกัน
ชีวิตปรกติประจำวัน บางทีมันก็ไม่ทำให้ได้มีโอกาสแสดงออกในบางเรื่องอย่างชัดเจน
มันจึงทำให้เรารู้สึกดีที่ได้รับรู้ตั้งแต่เนิ่นๆ จากการจัดงานแต่งงานนี่เอง
รวมไปถึงใจเจ้าบ่าวด้วย ว่าเขาเอาใจใส่เราขนาดไหน
ในชีวิตปรกติก็อาจจะมีการใส่ใจระดับนึง หรือทำเป็นปรกติจนไม่เห็น
ต่อเมื่อได้มีสถานการณ์บางอย่างที่แตกต่างจากชีวิตประจำวันออกไป
ก็ทำให้เราเห็นได้ง่ายๆเหมือนกันในความรักที่เขามีมากกว่าที่เราคาดไว้
(หรือบางคู่ก็น้อยกว่า)

เราจึงคิดว่า การแต่งงาน ก็เป็นการวัดใจคนรอบๆตัว รวมไปถึงตัวเองเหมือนกันนะ
และคนที่ควรหวั่นไหวน้อยที่สุดในงานเตรียมงานแต่งงาน ก็คือคู่บ่าวสาว
มันเป็นแค่บทพิสูจน์ใจบทหนึ่งเท่านั้นแหละนะ

.

.

.

ไม่อยากแต่งงานเลยเพราะมันเฟค ไม่ได้สะท้อนชีวิตจริง

.

ส่วนตัวยอมรับว่า การแต่งงานมันเฟคจริงๆ จะเฟคมากเฟคน้อย ก็เท่านั้นแหละ
อย่างน้อยในงานก็ต้องเฟคว่าโลกของเราสองคนนี้มันโคดจะหวานชื่นสมหวังเลย
ซึ่งลักษณะงาน มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ มันต้อง depict ชีวิตส่วนที่แฮปปี้ขึ้นมาเสนอ
เพราะถ้าเอาช่วงทะเลาะกันมาด้วย ไม่เข้าใจกันมาด้วย
แขกที่มางานก็คงจะสงสัยว่าแล้วมันจะมาแต่งงานกันทำไม

ความเฟคมาก เฟคน้อย เราว่ามันขึ้นอยู่กับธีมงานที่เราเลือก และสิ่งที่เราจะนำเสนอด้วยแหละ
หลายๆคู่คงชอบธีม เจ้าชาย เจ้าหญิง พรีเวดฟุ้งๆฝันๆ
อันนั้นก็ต้องยอมรับนะว่ามันมีความเฟคในระดับสูง
(เพราะชีวิตจริงนั่งยองๆซักผ้าในกะละมังเหยงๆ ตื่นมาหน้าบวมมันเป็นซิ้มโดนผึ้งต่อย)
ใครที่ชอบธีมแบบติดดินๆ เรียบง่าย ถ่ายรูปกันหลังบ้าน ก็มีความเฟคน้อยหน่อย
แต่ทั้งนี้ มันไม่ได้หมายความว่า เฟคมาก จะผิด เฟคน้อย จะถูกกว่า
และก็ไม่ควรดูถูกกัน เพราะมันเป็นเรื่องของรสนิยม
เอาเป็นว่าแล้วแต่ใครชอบยังไง

ถ้าเราคิดเรื่องการแต่งงานในมุมมองของรูปแบบ
คนที่ไม่ชอบความเฟค ก็อาจจะเกลียดความเฟคของมัน
แต่ถ้าเราคิดในมุมมองจุดประสงค์ว่า
การแต่งงานคือการประกาศว่า ฉันเลือกคนนี้แหละ อย่างเป็นทางการ
มันก็ serve ฟังก์ชั่นของมันได้เสมอ ไม่ว่าเปลือกนอกมันจะเป็นยังไง

นึกในอีกแง่มุมหนึ่ง แม้ว่าเปลือกมันจะดูเฟค
แต่ถ้ามันก่อเกิดความสุขให้คนมางานได้จริงๆ มันก็อาจจะคุ้มค่าที่จะมีงานแต่งงานก็ได้
เมื่อแรกๆจัดงาน หรือก่อนหน้าที่จะรู้ว่าแต่งงาน
เรายังยึดติดกับความคิดที่ว่า งานแต่งงาน แท้จริงแล้วควรจะเป็นเรื่องของคนสองคน อยู่เลย
จริงๆแล้ว ก็จริง การแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคน ว่าจะ(ทน)อยู่ด้วยกันได้รึเปล่า
แต่งานแต่งงาน มันไม่ใช่
ในวันแต่งงานเราถึงได้รู้ว่า สิ่งที่ทำไป มันคุ้มค่านะ
อย่างน้อย ก็เมื่อเราได้เห็นแก้มปริๆของพ่อแม่ที่เขาได้เจอเพื่อนเก่า ก๊วนแก่ มาด้วยกันตลอดงาน
ก็ทำให้เรารู้สึกว่า เราคิดไม่ผิดนะเออ
ถ้างานแต่งเพื่อน เป็นโอกาสที่เราจะได้เจอกับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ มีความสุข
เราว่า งานแต่งลูก ก็เป็นโอกาสที่พ่อแม่เราจะได้เจอกับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ มีความสุข เหมือนกันเนาะ

.

.

.

เงินทองของนอกกาย ที่จำเป็นชะมัดยาด

.

เรื่องเงินทอง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงานแต่งงาน เป็นไม้เบื่อไม้เมากับบ่าวสาวเลยก็ว่าได้
เพราะไม่ว่าบริการอะไรที่เกี่ยวข้องกับงานแต่งงาน ก็ดูเหมือนจะฟันเราโชะเชะให้เป็นชิ้นๆ
แม้ว่างานแต่งงานคือความฝันของใครหลายๆคน เป็นเรื่องอารมณ์ อีโม เป็นส่วนใหญ่
แต่ตัวเงินที่มีอยู่ มันก็จะบอกเราเองว่า ความเป็นจริงแล้วเราจะได้อย่างที่อยากหรือเปล่า

ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้หมายความว่า งบน้อยแล้วจะสวยสู้งบเยอะไม่ได้
แน่นอนว่าจะ “เยอะ” เหมือนงบเยอะไม่ได้
แต่เราก็สามารถจะยึดคอนเซปท์ less is more ได้
ยกเว้นว่า รสนิยมเราจะเป็นพวกชอบอะไรเยอะๆโปะๆโบ๊ะๆฉ่ำๆ ก็จะทำใจยากหน่อย
ก็ต้องไปดิ้นรนอาศัยคอนเนกชั่น แรงงานคนรู้จัก ราคาพิเศษ เพื่อให้โบ๊ะฉ่ำจัมโบ้เอสมใจกัน

เราเคยเห็นรูปงานแต่งงานที่งบจำกัด จัดพิธีที่โรงพยาบาลสงฆ์แล้วก็เลี้ยงอาหารกันที่นั่นเลย
แต่ดูรูปแล้วรู้สึกว่า เออ ความสุขทั้งบ่าวสาวและคนร่วมงาน มันเต็มเปี่ยมจริงๆ
แต่เราก็บอกไม่ได้หรอกว่า หนุ่มสาวเอย ไม่ต้องสนใจอะไรหรอกนอกจากความสุขของคนในงาน
เพราะบางงาน จุดประสงค์หลักอีกจุดนึงก็คือ การโชว์อลังให้ชาวบ้านได้รับรู้จริงๆ จึงจะดี
ไม่ว่าจะเป็นด้วยความต้องการของบ่าวสาวเอง หรือของผู้ใหญ่
พ่อแม่ก็เชิญลูกค้งลูกค้า คู่ค้าคู่ขาย อะไรมาหมด
ซึ่งมันก็ต้องหมายความว่าต้องโชว์อลังโชว์รวยไปโดยปริยาย
(เอาจริงๆเราไม่ได้เห็นด้วยหรอกนะ การโชว์อลัง หรือเชิญใครที่ห่างๆออกไปมางานแต่งงานด้วยเนี่ย
แต่บางทีนั่นก็เป็นความจำเป็นของผู้ใหญ่บางส่วนก็ได้)

แต่ทั้งนี้ เราก็ต้องดูด้วยว่า งบที่เรามี กับเป้าหมายของเรา มันสอดคล้องกันหรือเปล่าล่ะ
ถ้างบไม่สอดคล้องกับเป้าหมาย หรือภาพที่เราวาดไว้ มันก็มีอยู่ไม่กี่ทาง
1. หาวิธีเพิ่มงบให้ได้ เช่น หางานพิเศษ ขอยืมผู้ใหญ่ กู้มา(โดยที่มั่นใจว่าใช้คืนได้)
2. ปรับเป้าหมาย ภาพที่ฝัน เช่น เราอาจจะต้องตัดฝันอลังทิ้งไป กลายเป็นจุ๋มจิ๋ม อบอุ่นแทน
อาจตัดฝันจุ๋มจิ๋มอบอุ่น กลายเป็นเลี้ยงอบอุ่นๆเฉพาะญาติพี่น้องแทน
3. ปรับวิธีการ รายละเอียดในงาน เช่น ปรับจำนวนแขกให้ลดลง หาสถานที่ที่ดีแต่ราคาย่อมกว่านี้
เช่าชุดแทนที่จะตัดชุด บีบคอให้เพื่อนถ่ายรูปให้ ของชำร่วยลดความอินดี้ลง มองหาของโหลกว่านี้

ลองลิสต์ออกมาดู แล้วคงไว้สำหรับที่จำเป็น ตัดใจสำหรับสิ่งที่อยากได้แต่ไม่ต้องมีก็ได้
บางทีเราอาจจะพบทางออกใหม่ๆ สร้างสรรค์ๆกว่าเดิม
และทำให้ยิ่งเป็นกิมมิคเอกลักษณ์ของงานก็เป็นได้

ส่วนใครที่หวังว่าแต่งงานแล้วจะได้เงินทองไปตั้งตัวจากซองทั้งหลาย
ขอบอกเลยว่าอย่าไปหวังมาก หวังแล้วมักจะเจ็บตัวเอง
มันขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างมากเลยนะที่จะได้เงินเท่าไหร่
สมมติว่า แขกส่วนใหญ่ที่ไปงาน ยังไม่ได้แต่งงาน (หมายความว่าเราอาจจะแต่งตั้งแต่อายุน้อย)
ก็อาจจะมีทั้งความที่ไม่รู้ต้นทุนในการจัดงานแต่งงาน และรายได้ที่ยังมีไม่เยอะ
เพราะฉะนั้น เงินในซองที่จะได้ ก็อาจจะน้อยกว่าค่าอาหารต่อหัว
เซย์ซะว่า ถ้าจัดโรงแรมห้าดาว ขนาดแขกมาคนเดียว ใส่ซองมาตั้งพันนึง นั่นก็ปริ่มขาดทุนแล้ว
เพราะแพ็กเกจโรงแรมแบบถ้าไม่มีซุ้มอาหารพิเศษอะไรเลยก็อยู่ที่ประมาณหนึ่งพันต่อหัวแล้ว
ไม่ต้องคิดค่าชุด ค่าถ่ายรูป ค่าวิดีโอ ค่าอะไรทั้งนั้น
แต่อย่าลืมว่า แขกที่มางาน เขาไม่ได้บังคับให้เราจัดงานที่หรูๆ ราคาแพงๆ นะ
ฉะนั้นเราก็จะไปบังคับหรือว่าหวังว่าเขาจะหยอดซองให้เรามาให้คุ้มค่าอาหารต่อหัวไม่ได้เหมือนกัน
ถ้าใจอยากจะจัดไม่ให้ขาดทุนจริงๆ ก็ต้องวางแผนไปอีกแบบเอง
แต่ก็ยังหวังว่าจะไม่ขาดทุนแน่ๆไม่ได้อีกนั่นแหละ ปัจจัยว่าจะได้เท่าไหร่ มันเยอะ อย่างที่บอก
บางคนมีใจให้เราเต็มที่ รักเราจริงๆ แต่เขาก็มีเงินแค่นั้นจริงๆ หรือเขาคิดว่ามันเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว
บางคนมีเงิน แต่ไม่ได้รู้จักเราแต่ต้องมางานตามมารยาท และบังเอิญเขารู้ต้นทุนในการจัดงานด้วย
เขาก็อาจจะให้เงินมามากกว่าเพื่อนรักของเราก็เป็นไปได้อีก

จะว่าไปเรื่องเงินค่าหยอดซองมันก็เป็นทอปปิคที่คู่กับการพูดเรื่องงานแต่งงานในสังคมไทย
บางคนก็หวังจริงๆว่าจะได้กำไรไปตั้งตัว
หรือไม่ได้หวังกำไรแต่หวังว่าอย่างน้อยเพื่อนจะหยอดไม่ต่ำกว่าเท่านั้นเท่านี้
พอได้ไม่เหมือนอย่างที่หวังก็รู้สึกผิดหวัง ผิดใจ รู้สึกเพื่อนไม่ใจกับเราเลย
ซึ่งก็นานาจิตตังนะเรื่องอย่างนี้
พอมาจัดงานแต่งงานเองก็เข้าใจว่าเรื่องอย่างนี้มันก็มีปัจจัยให้คิดไปได้อยู่เหมือนกัน
แต่เราว่า ถ้ายิ่งไปหวังผลตอบแทนกับงานแต่งงาน มันก็ยิ่งเป็นทุกข์กับตัวเราเอง
มันยิ่งทำให้เรามีเรื่องไปผิดใจกับคนรู้จักได้ง่ายๆเพิ่มขึ้น
เริ่มต้นที่ตัวเองดีกว่าว่า เวลาเชิญใคร ถึงแม้เขาจะไม่ใส่ซองเลย เราก็ยังดีใจที่เขามางานอยู่หรือเปล่า
ให้คิดว่า เงินทุกบาทที่ได้กลับมาในซอง ถือเป็นกำไรทั้งหมดดีกว่า

.

.

.

ทำสวย ทำหล่อ

.

ถ้าปรกติแล้วเป็นคนที่รู้ตัวว่า ตัวเองควรจะลดน้ำหนักลงสักหน่อย ดูแลตัวเองอีกนิด
แต่ไม่เคยจะทำได้เลยในชีวิตนี้
การแต่งงานมักจะเป็นเป้าหมายที่แน่ชัดให้เรามีแรงลด มีแรงทำสวยหล่อได้มากกว่าปรกติ

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เราต้องรีดไขมันออกให้หมด เราต้องมีซิกแพคให้ได้
(แต่ถ้าได้ก็ดี)

คนผอมอยู่แล้ว คงไม่ต้องกังวลอะไรกับตรงนี้
แต่คนที่มีส่วนเกินของชีวิตเยอะ ก็มักจะอยากให้ส่วนเกินมันน้อยๆลงไปบ้าง
อย่างไรก็ตาม แต่ละคนก็มีวิธีการลดน้ำหนักแตกต่างกันไป
ยังไงก็ต้องคอยระวังไม่ให้หักโหมจนเกินเหตุ ต้องฟังร่างกายตัวเองด้วยว่าไหวหรือเปล่า

ส่วนการทำสวย ผิวใส ไร้สิว ตาไม่แพนด้า
เราเฉยๆนะ ยกเว้นกับเรื่องสิว
เพราะผิวใส แพนด้า อะไรพวกนี้ มันก็ถูกโบกกลบหมดด้วยเครื่องสำอางอยู่แล้ว
ส่วนสิวผดสิวผื่น ก็ไม่ได้อะไรเท่าไหร่ ก็โบกกลบได้เหมือนกัน
แต่ถ้าเป็นสิวหัวช้าง หัวรถจักร สิวสามมิติ นี่ ถ้าใกล้ๆงานแล้วยังไม่มีแววยุบ
ก็อาจจะต้องพึ่งหมอกันบ้างล่ะ

เราเข้าใจคนที่เป็นกังวลเรื่องน้ำหนักนะ
เพราะบางทีเราก็แพนิคเหมือนกัน แม้ว่าคนรอบข้างมักจะบอกว่าไม่เห็นจะอ้วนๆเลย
ความเป็นจริงนะ การพยายามลดแบบฝืนตัวเองเกินไป มันไม่ทำให้สวยหล่อขึ้นกว่าเดิมเลย
หรือการจะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้สวยหล่อเหมือนไม่ใช่ตัวเอง
เช่นการลดน้ำหนักมากไป การไปฉีดกลูต้งกลูต้าให้ขาวขึ้น โบท็อกซ์หน้าเรียว
มัน…ไงดีล่ะ เราไม่อยากได้รูปวันสำคัญของชีวิตที่มันดูยังมีเค้าเหมือนตัวเองในวันอื่นๆเหรอ
อย่าไปกดดันตัวเองมาก เดี๋ยววันนั้นแทนที่จะสวยได้เต็มที่ กลับเป็นตรงกันข้าม

เราไม่สามารถจะสวยหล่อเป็นดาราได้ทุกคนหรอก
แต่เราดูดีในแบบตัวของตัวเองได้
บางทีการที่ไม่ต้องหวังว่าวันนั้นเราจะสวยหล่อที่สุด
แค่เราสวยหล่อพอๆกันในทุกๆวัน ก็โอเคนะ

.

.

.

พักผ่อนให้เพียงพอ

.

แววตาและบุคลิก เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ดูดี
แววตาที่อ่อนระโหย กับบุคลิกง่วงซึม ทำให้บ่าวสาวออร่าหดลงไปกว่าครึ่ง
ยิ่งเป็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่อายุไม่อยู่ในช่วงเอ๊าะๆกันแล้ว
การอดหลับอดนอน เป็นอะไรที่ผลลัพธ์ยิ่งฟ้องแขกชัดเจนให้แขกล้อได้ง่ายๆ

แม้ว่าการนอนไม่พอ กับการเตรียมงานบ่าวสาว มักจะมาคู่กัน
ยิ่งเป็นบ่าวสาว DIY มีอะไรให้ทำเองเยอะแยะ
เราแต่งงานวันที่ 25 ในคืนวันที่ 23 เข้าวันที่ 24 เรายังนอนตีสี่ตีห้าปั่นพรีเซนต์อยู่เลย
แถมเป็นหวัดไม่สบายมาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ และมาเริ่มผลิดอกออกใบก็ช่วงวันที่ 22-23 นี่แหละ
พอตื่นมาในวันที่ 24 ปั๊บ หวัดก็มาเต็มๆ
โชคดีที่เราปั่นสคริปท์มอบหมายงานให้ทุกคนเสร็จตั้งแต่วันที่ 22-23 แล้ว
วันที่ 24 เราเลยตั้งใจจะพักผ่อนเต็มเหนี่ยว ทานยาแก้หวัดแล้วนอนตั้งแต่หัวค่ำกันเลย

ถ้าเป็นไปได้ ไม่รัดเข็มขัดจนเกินไป ลองเจียดงบประมาณการเตรียมแต่งงาน
มาเป็นค่าโรงแรมเพิ่มสักคืนสองคืนก็ได้ ในกรณีที่แต่งงานที่โรงแรม
ใครที่จัดพิธีที่โรงแรมแล้วมันต้องตื่นเช้ามาก อย่างเริ่มพิธี 7 โมงเช้า
ถ้านอนโรงแรมคืนนั้นก็ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 มาแต่งหน้า
ถ้าไม่ได้นอนโรงแรมก็ต้องตื่นเช้ากว่านั้นอีกเป็นชั่วโมงเพราะต้องเสียเวลาเก็บของและเดินทางด้วย
ถ้าลงทุนเช่าโรงแรมนอน หรือเช่าโรงแรมใกล้ๆนอน ก็อาจจะทำให้ได้เวลานอนเพิ่มขึ้นอีกหน่อยได้
แต่ถ้าทำพิธีที่บ้าน ก็ตื่นเวลาเท่ากัน
และไม่ต้องเสียค่าโรงแรมเพิ่มเพื่อเวลานอนที่มากขึ้น ประหยัดได้อีก

แต่ก็อีกแหละ บางคน อาจจะส่วนใหญ่ด้วย ที่ถึงจะเคลียร์ทุกอย่างแล้ว
ก็ยังนอนไม่หลับอยู่ดีเพราะความแอบตื่นเต้น หรือตื่นเต้นอย่างโฉ่งฉ่างก็ได้
จุดนี้ ถ้าใครต้องกินยา อย่างเราต้องทาน NyQuil เพื่อแก้หวัด ซึ่งมันเป็นยาที่ทำให้ง่วงมากอยู่แล้ว
หรือใครเป็นภูมิแพ้ ต้องทานยาแก้แพ้ ก็เป็นยาที่มักทำให้ง่วงอยู่
ก็จะได้เปรียบหน่อย ตรงที่ถึงจะตื่นเต้นก็มักจะยังได้หลับ
จริงๆมันก็ไม่ใช่วิธีที่ควรแนะนำเสมอไปเนอะ เรื่องกินยานี่
แต่ถ้านอนไม่หลับจริงๆ ต้องการหาตัวช่วยจริงๆ ถ้าไม่ได้เป็นทั้งหวัดหรือภูมิแพ้
ก็อาจจะใช้ยานอนหลับ หรือยาแก้เมารถเมาเครื่องบินก็พอไหวนะ
(ทั้งนี้ทั้งนั้น ปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้ยาก็ดีเน่อ)

ทั้งนี้ทั้งนั้น สรุปว่า วางแผนดีๆ แล้วนอนซะหน่อยเถอะ ดีกว่าอดนอนเยอะเลย

.

.

.

ความไม่ได้อย่างใจ

.

เจ้าสาวคนไหนที่จัดงานเอง แล้วไม่กลายเป็น ไบรด์ซิลล่า คงหายากหน่อย
เพราะงานแต่งงานมันคืองานใหญ่ของชีวิต และงานใหญ่ทั่วไปก็ต้องมีปัญหา

เรื่องไม่ล่ายหลั่งจาย มีอยู่ประมาณ 3 หัวข้อใหญ่ๆ คือ
เรื่องความต้องการของคนอื่นที่ขัดใจเรา
เรื่องไม่ได้ของอย่างที่ต้องการ
เรื่องผิดคิว ผิดพลาดของคนที่วางตัวไว้ทำหน้าที่ต่างๆ
ไม่นับปีที่แล้วที่มีเรื่องที่ 4 คือเรื่องน้ำท่วม ไปด้วย

ความต้องการของคนอื่นที่ขัดใจเรา
เราว่าส่วนใหญ่ต้องเจออะ ถ้าพ่อแม่มีความต้องการให้งานเป็นแบบนั้นแบบนี้ด้วย
สีนั้นสีนี้ใช้ไม่ได้ ต้องมีอย่างนั้นอย่างนี้
ยิ่งถ้าลูกกับพ่อแม่มีรสนิยมที่แตกต่างกันมาก
มีจุดประสงค์ของงานแต่งงานที่แตกต่างกันมากนะ ยิ่งตีกัน
ถ้าบ่าวสาวคู่ไหนที่ผู้ใหญ่ให้จัดงานตามใจ นับว่าทำบุญมาดีมาก 555
อย่างคู่เราก็นับว่าโชคดีพอสมควรที่พ่อแม่ปล่อยให้จัดงาน แต่ก็ยังมีจุดที่ขัดแย้งกันอยู่เหมือนกัน
เช่น การให้ผู้ใหญ่ขึ้นพูดบนเวที การไชโย และการคล้องพวงมาลัยบ่าวสาว
ซึ่งเป็นขั้นตอนพิธีที่ส่วนตัวเราไม่ต้องการ ด้วยเหตุผลเรื่องมากของเราก็คือ
ผู้ใหญ่ที่ไหนเราไม่รู้จัก ถ้าผู้ใหญ่คนไหนจะขึ้นไปพูด เราอยากให้พ่อแม่เราขึ้นไปเท่านั้น
การไชโย อันนี้ไม่ถูกกับรสนิยมเราอย่างแรง
และเราก็ว่าชุดแต่งงานสากลมันไม่แมทช์กับพวงมาลัยเอาซะเลย
เราจึงตัดสามอย่างนี้ออก ซึ่งกว่าจะตัดออกได้จริงๆ ก็เกือบๆวันงานแล้วล่ะ

ตอนแรกใช้การเจรจาแบบเป็นเหตุเป็นผล แต่ในเมื่อพ่อแม่เราก็มีเหตุผลเหมือนกัน
แล้วยังไงเราก็ไม่เห็นด้วย เราก็เลยใช้มุกหัวแข็งยืนกรานจนในที่สุดก็ไม่ต้องมีทั้งสามอย่าง
แต่อย่างเรื่องอื่นๆ เช่น ลงหนังสือพิมพ์จีน (ซึ่งเราก็รู้สึกว่า จะลงทำหยังเนี่ย เดี๋ยวก็ลงถังขยะ)
การไม่ใช้สีดำในกราฟฟิกใดๆ การไปถ่ายพรีเวดแบบเราๆมาจนได้
การมีผู้ใหญ่ที่ไม่ใช่คนในครอบครัวมาทำพิธีหมั้น การใช้เครื่องนอนสีชมพูที่แสนขัดใจ
การเสริมเอาบัวลอยมาทานหลังก่อนหลังน้ำพระพุทธมนต์ เป็นต้น
เราก็โอเคทำให้ได้นะ มันก็ต้องมีส่วนที่เราทำโดยไม่เต็มใจแลกกันบ้าง แหะ แหะ
สุดท้าย ยังไงงานแต่งงานของเรา ก็เป็นเรื่องของครอบครัวนะ

ไม่ได้ของอย่างที่ต้องการ
เท่าที่อ่านมาหลายๆเคส เรื่องไม่ล่ายหลั่งจายเกี่ยวกับของ มักจะเกี่ยวกับชุด ไม่ก็รูปถ่าย ไม่ก็ฉาก
เราพบว่า เจ้าสาวมีปัญหากับเรื่องชุดหลายเคสเหมือนกันนะ
แต่ปัญหาจริงๆก็คือ ช่างตัดมาไม่ตรงตามที่ตกลงกันไว้ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเถิด
ช่างตัดชุดบางคน ก็เหมือนช่างผมบางคนเหมือนกันนะ
ที่บอกจะเอาทรงนี้ แกก็จะใส่อิมเมจิเนชั่นและวิจารณญาณของแกเอง
ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้มากกว่า ซึ่งในบางครั้งก็ยิ่งเวิร์ค ในบางครั้งก็ดันแป้ก
ปัญหาคือ แป้กแล้วเจ้าสาวไม่มีโอกาสแก้ตัว เพราะใส่ได้แค่ครั้งเดียวในชีวิต
เวลาเลือกช่างตัดชุด จึงต้องเลือกอย่างระมัดระวังอยู่เหมือนกัน
คือ เวลาเข้าไปคุยแล้วน่าจะไว้ใจได้ว่าเขาจะทำชุดเราออกมาดี พื้นฐานจิตใจไม่ติสท์แตก
และเราควรมั่นใจก่อนวางเงินครั้งแรก ว่าเราพบแล้วว่าตัวเองเหมาะกับชุดประมาณไหน

ส่วนรูปถ่าย ก็ได้ยินเคสปวดใจมาหลายกรณี ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องภาพถ่ายหาย ภาพไม่โปร
แต่ภาพไม่โปร ก็โอเค เสียดายตัง แต่ยังไม่เท่ากับภาพถ่ายหายไปไหนไม่รู้
โชคดีในปัจจุบันเรามีเทคโนโลยี ที่ทำให้เรามีรูปงานแต่งงานเราจากกล้องมือถือเพื่อนเยอะมาก
ถึงแม้ว่าช่างกล้องหลักจะมีอันเป็นไปด้วยเหตุอันใดก็ตาม
เราก็ยังมีกล้องรองจากเพื่อนๆมาปลอบใจ

เรื่องอื่นๆที่ทำไม่ตรงตามที่กำหนดไว้ ชิทแฮปเพ่น
ข้อสรุปของเรื่องชิทแฮปเพนทั้งหลายก็คือ ทำใจว่าจะเจอ
ข้อผิดพลาด ความไม่ได้อย่างใจที่เกิดขึ้นในระหว่างการเตรียมงาน และในงาน เป็นเรื่องปรกติ
ใครไม่เจอสิ แปลกมากๆๆๆ
แต่ก็ไม่ใช่ว่า ไหนๆก็ต้องมีผิดพลาดแล้ว งั้นเราก็ไม่ต้องอะไรกับมันมากละกัน
จริงๆคือเราก็ยังต้องตั้งใจทำมันออกมาให้ดีที่สุดเหมือนเดิมนั่นแหละ
เพื่อให้มันผิดพลาดน้อยสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างน้อยก็ไม่ได้ผิดพลาดจากตัวเรา
แม้ว่างานจะเรียบง่าย ชอบอะไรง่ายๆ ก็ใช่ว่าจะมักง่ายได้

ในทางตรงกันข้าม เมื่อกำหนดเป๊ะอะไรทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้นแล้วมาฟาดงวงฟาดงา
การที่จะบอกว่าตัวเองเป็นเพอร์เฟกชันนิสท์ ตัวเองอยากให้งานออกมาดีที่สุด
ไม่ใช่เหตุผลที่ชอบธรรมที่จะเอามาทำให้ตัวเองทุกข์
แถมไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นอีกต่างหาก
การรับมือกับข้อผิดพลาดไม่ใช่การเป็นลมบ้าหมูกับมัน
บางทียอมรับว่าพลาดไปแล้ว แล้วเลยตามเลย ยังช่วยมากกว่าเลย

.

.

.

Runaway Bride/Groom

.

อย่างที่บอกว่า งานแต่งงาน ไม่ใช่เรื่องของเจ้าบ่าวเจ้าสาวอย่างเดียว
แต่ในขณะเดียวกัน เจ้าบ่าว เจ้าสาว ก็ต้องเป็นแกนกลางที่ไม่สามารถขาดคนใดคนหนึ่งไปได้
อย่างไรก็ตาม ความหวั่นไหวนั้น เกิดขึ้นได้ตลอดทางการเตรียมงานแต่งงาน
เพราะการแต่งงาน ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนชีวิตนะ
แม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นเหมือนบิ๊กโอที่กลิ้งเคียงข้างไปด้วยกัน
แต่การที่บิ๊กโอกลมๆสองวง มานอนเคียงข้างกัน แชร์ห้องน้ำกัน ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เคยทำมาก่อน
ความรู้สึกที่นับถอยหลังในการเปลี่ยนชีวิต ก็มักจะทำความหวั่นไหวไม่มากก็น้อยให้ทั้งคู่
ประกอบกับความปวดเศียรเวียนเกล้าของการจัดการ ยิ่งมากคน มากความ ยิ่งปวดหัว
มันก็เลยทำให้เจ้าบ่าวเจ้าสาว (โดยเฉพาะเจ้าสาว) สติแตกกันวันละสามเวลาได้

ณ จุดที่สติแตกง่ายๆ ก็ต้องใช้หัวใจเป็นตัวนำทาง
ถ้ายังแน่ใจว่ารักกันอยู่ ก็ให้พยายามเป็นกำลังใจกันและกัน
ปิดโหมด “ทำไมๆๆๆๆๆ” ทิ้งซะบ้าง
การถอดใจ เป็นเรื่องง่าย การเหวี่ยงการวีน ก็เป็นเรื่องง่าย
ง่ายจนเป็นความมักง่ายเลยแหละถ้าทำในสถานการณ์ที่ควรจะให้กำลังใจกัน
ยังไงถ้าเลี่ยงไม่ได้ ก็ขอให้พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่สติแตกพร้อมกันก็แล้วกัน

นอกเสียจากว่า มาระลึกได้ว่าเราไม่ได้รักกัน ฉันไม่ได้รักเขา เท่านั้นเอง

.

.

.

มหากาพย์เตรียมงานแต่ง มะลิ กับ หมีกรอบ ก็จบลงที่ตอนที่ 16 นี้เอง
เราหวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการเตรียมตัวเตรียมใจของว่าที่เจ้าสาวเจ้าบ่าวหลายๆคู่
ที่ถ้าใครจะแต่งงานจริงๆขึ้นมาแล้ว เราว่ามาอ่าน ก็ไม่น่าจะถอดใจไม่ต่งไม่แต่งมันแล้วนะ
มันอาจจะมีอะไรเยอะแยะให้ทำ แต่ถ้าเราค่อยๆทำไป มันก็จะเสร็จไปทีละอย่างสองอย่าง
ระหว่างทางมันก็คงมีปวดหัว ปวดใจ อะไรกันบ้าง
แต่เอาเข้าจริงมันก็เป็นแค่สิ่งพิสูจน์หัวใจ และการตัดสินใจของเราในอนาคตเท่านั้นเอง

แม้ว่า การแต่งงาน จะเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น”
และ “จุดเริ่มต้น” นี้ มันจะไม่ได้รับประกันความสุขตลอดอายุการใช้งานชีวิตคู่
แต่ “จุดเริ่มต้น” ที่ดี ที่ทำให้เรารู้ว่า เรื่องยุ่งยากแบบนี้ ใจเราทั้งสองคนก็ยังทำมันขึ้นมาได้
และมันก็ทำให้เราได้เห็นภาพคนรอบๆข้างมากมายที่รักเรา มีความสุขไปกับเราด้วย
ก็ทำให้เรารู้ว่า แม้เป็นจุดเริ่มต้นของรังเล็กๆของคนสองคน
แต่มันก็ไม่ใช่จุดเริ่มต้นที่เดียวดายเลย

.

.

เต็มที่นะคะ เพื่อจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ของเรา

.

: -)

.

11 thoughts on “มหากาพย์ เตรียมงานแต่งงาน #MaliMeekob (16) – จัดการตัวเอง

Add yours

  1. มาลงชื่อว่าตามอ่านทุกตอนครับ ได้ความรู้มากมาย
    ขอบคุณที่เสียเวลาเขียนมาแบ่งปันให้อ่านครับ

  2. ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวจะเอาไปให้ วทจบ อ่านบ้าง ^^

  3. อ่านถึงตอนจบ มีไอเดีย มีแนวทาง มีกำลังใจขึ้นเยอะ ขอบคุณค่ะ

    1. สู้ๆค่ะ ขอให้งานแต่งราบรื่นประทับใจสุขสดชื่นทุกครั้งที่นึกถึงนะคะ 😀

  4. กำลังจะแต่งงานในอีกไมกี่เดือนค่ะ
    ได้เป็นไอเดียมากๆ ขอบคุณมากๆค่ะ

    เขียนสนุกมากค่ะ ^^

  5. ขอบคุณมากๆนะคะ อ่านทุกวัน วันละหลายๆรอบ ขอบคุณจริงๆค่ะ 🙂

  6. อ่านแล้วได้ความรู้ ได้ไอเดียเยอะมาก ขอบคุณนะคะ 🙂

  7. ขอบพระคุณมากคะ อ่านครบทุกตอนและเป็นประโยชน์มากคะ

Leave a reply to twomali Cancel reply

Blog at WordPress.com.

Up ↑